ต้นน้อยหน่า
น้อยหน่า เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดในแถบร้อนของทวีปอเมริกากลาง นำเข้ามาปลูกในประเทศแถบเอเชียครั้งแรกโดยชาวสเปน และชาวโปรตุเกส ส่วนในประเทศไทยมีการนำเข้าน้อยหน่าครั้งแรกในสมัยลพบุรี
ปัจจุบันการ ปลูกน้อยหน่าในประเทศไทยมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคกลาง เรียก น้อยหน่า ภาคตะวันออก เรียก นอแฟ
สาร alkaloid มีประโยชน์ในการรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น ใช้เป็นยาระงับปวดยาชา ใช้เป็นยาแก้ไอ ยาแก้หอบหืด ยารักษาแผลในกระเพาะ ยาลดความดัน ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ณรงค์ จึงสมานญาติ (2539) ศึกษาพบว่า เมล็ดน้อยหน่าที่บดเป็นผง แล้วแช่ด้วยน้ำผสมแอลกอฮอล์ 10% (แอลกอฮอล์ 95% 1 ขวด ผสมน้ำ 9 ขวด) ให้ท่วมผงเมล็ดน้อยหน่าเล็กน้อย โดยแช่ทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วกรองเอาส่วนน้ำสำหรับเป็นหัวเชื้อ ก่อนใช้จะผสมน้ำหรือแอลกฮอล์ 10 % ประมาณ 6 เท่า แล้วใช้ฆ่าเห็บด้วยการฉีดพ่นที่ตัวเห็บ ซึ่งพบว่าสามารถฆ่าได้ทั้งเห็บตัวอ่อน เห็บตัววัยรุ่น และเห็บตัวแก่
ปอง ทิพย์ และ ปิยธิดา (2540)ได้ทำการทดสอบฤทธิ์ในการฆ่าเหาของสารสกัดเมล็ดน้อยหน่า ที่สกัดด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ พบว่า สารสกัดที่ความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ สามารถฆ่าเหาให้ตายได้หมดในเวลา 60 นาที นอกจากนี้ สารสกัดจากเมล็ดน้อยหน่าที่ความเข้มข้น 150 มิลลิกรัม/ลิตร มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกหนูตะเภา และที่ความเข้มข้น 0.3 มิลลิกรัม มีฤทธิ์ในการบีบมดลูกได้เท่ากับ oxytocin
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1. ลำต้นน้อยหน่าจัดเป็นไม้ผลยืนต้นผลัดใบ มีทรงพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นแท้สูงประมาณ 1 เมตร และจะแตกกิ่งก้านออกเป็นกิ่งหลัก กิ่งรอง กิ่งแขนง และกิ่งย่อย โดยจะแตกกิ่งอยู่ในระดับต่ำถัดจากลำต้นแท้ การแตกกิ่งจะไม่เป็นระเบียบ ลำต้น และทรงพุ่มอาจสูงมากกว่า 5 เมตร ลักษณะเปลือกลำต้นบาง ผิวเปลือกสากหยาบ สีน้ำตาลถึงดำ2. ใบน้อยหน่าจัดเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันบนกิ่ง สีใบเมื่ออ่อนจะออกสีขาวปนเขียว ใบแก่จะออกสีเขียวเข้มปนน้ำตาล มีลักษณะใบเป็นรูปหอก ปลายใบแหลมหรือค่อนข้างเรียวแหลม ส่วนโคนใบก็มีลักษณะเป็นรูปลิ่ม เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นเฉพาะตัว
3.ดอกน้อยหน่าจะแทงออกเป็นตาดอกตามกิ่ง ทั้งกิ่งแก่หรือส่วนของลำต้น ซึ่งมักจะออกดอกในฤดูใบไม้ผลิหลังจากผลัดใบแล้ว หรือในช่วงต้นฤดูฝน หลังได้รับความชื้นหรือน้ำแล้ว ดอกของน้อยหน่าจะแทงออกเป็นกลุ่มๆ ละ 2-5 ดอก บริเวณจุดเดียวกัน
4. ผลมีลักษณะเป็นผลรวม เกิดจากดอกเดียว แต่ประกอบด้วยรังไข่หลายอัน ผิวเปลือกน้อยหน่าจะมีลักษณะเป็นตานูน มีสีเขียว และเขียวอ่อนแกมเหลืองเมื่อสุก
คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉลี่ยของน้อยหน่า
( ต่อส่วนที่บริโภคได้ 100 กรัม )
– โปรตีน 1.4 กรัม– ไขมัน 0.2 กรัม
– คาร์โบไฮเดรท 21.4 กรัม
– ไฟเบอร์ 1.2 กรัม
– แคลเซียม 7.0 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 27.0 มิลลิกรัม
– เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
– วิตามิน เอ 21 ไอ. ยู
– วิตามิน บี 1 0.09 มิลลิกรัม
– วิตามิน บี 2 0.09 มิลลิกรัม
– ไนอาซีน 1.0 มิลลิกรัม
– วิตามิน ซี 107.0 มิลลิกรัม
การปลูกน้อยหน่า
การปลูกน้อยหน่านิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ดมากที่สุด รองลงมาเป็นการปลูกจากกิ่งพันธุ์ตอนที่ต้องการให้ผลเหมือนต้นแม่พันธุ์หรือต้องการรักษาต้นแม่ให้เพื่อให้ผลนำมาขยายพันธุ์จากเมล็ดต่อ
สรรพคุณน้อยหน่า
- ราก ใช้เป็นยาระบาย ถอนพิษเบื่อเมา ทำให้เกิดการอาเจียน และแก้พิษงูได้
- เปลือกต้น และเนื้อไม้ แก้ฟกช้ำบวม แก้กลาก เกลื้อน มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิผิวหนัง ขับพยาธิลำไส้ ฆ่าเหาแก้หิด เส้นใยของเปลือกใช้ทำกระดาษ ส่วนเนื้อไม้มีสีเหลืองของสาร Morin ใช้ย้อมผ้าไหม ผ้าแพรหรือผ้าอื่นๆ
- ผล และส่วนของเปลือกผล ใช้แก้พิษงู แก้ฝีในคอ ขับพยาธิ ฆ่าพยาธิผิวหนัง หรือใช้กินสดหรือต้มน้ำหรือเชื่อมกินก็ได้ เป็นยาเย็น ยาระบายอ่อนๆ แก้ธาตุไม่ปกติ ขับเสมหะ ลดเสมหะ
- เมล็ด เป็นยาฆ่าเหา ฆ่าพยาธิตัวจี๊ด และแก้บวม สกัดเอาน้ำมันมาใช้ประโยชน์
- ใบ ใช้ใบอ่อนและใบแก่ ทำเป็นชาเขียวสำหรับชงน้ำดื่ม ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดความดันโลหิต เป็นยาขับเหงื่อ แก้ไข้ ทำยาต้ม ใช้อมแก้คอเจ็บ แก้ไอ ทำให้เยื่อชุ่มชื่น และยังใช้เลี้ยงไหม หรือนำใบอ่อนปรุงเป็นอาหาร
ที่มา : https://www.nfc.or.th/content/7415
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น